16 กุมภาพันธ์ 2554

การจัดการความรู้เรื่อง เทคนิคการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ

การจัดการความรู้เรื่อง เทคนิคการทำงานให้ประสบผลสำเร็จบทสัมภาษณ์แนวทางการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ
บทสัมภาษณ์แนวทางการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ (อ้างถึงใน URL : http://www.212cafe.com/
freewebboard/view.php?user=assawin2&id=45) ได้ให้ความหมายว่า
โดย นางพวงผกา ทนันไชย บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัย รามคำแหง
สัมภาษณ์ อาจารย์อัศวิน นันทะแสง ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านนาเยีย
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี เขต 3 ประธานชมรมอาจารย์ 3
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี เขต 3 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พวงผกา ก่อนอื่นดิฉันขอแนะนำตัวก่อนนะคะ ดิฉันชื่อ นางพวงผกา ทนันไทย อาชีพ รับราชการครู ชำนาญการพิเศษ โรงเรียนนิคมกิ่วลม 3 เขตพื้นที่การศึกษาลำปาง เขต 1 กำลังศึกษาในระดับมหาบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง ศูนย์เชียงใหม่ ขณะนี้กำลังศึกษาในรายวิชา มนุษย์สัมพันธ์ อยากเรียนสัมภาษณ์ท่านอาจารย์ อัศวิน นันทะแสง ในวันนี้ในเรื่อง ความสำเร็จในอาชีพ
อัศวิน ผมยินดีมากเลยครับท่านอาจารย์ที่เห็นอาจารย์พวงผกา และเพื่อนครูเรามีการพัฒนาในการศึกษาต่อระดับปริญญาโท โดยเฉพาะสาขาบริหารการศึกษา ถือว่าเป็นหลักในการบริหารการศึกษาระดับต้น ๆ
พวงผกา อยากเรียนถามท่านอาจารย์อัศวิน นันทะแสง นะค่ะว่า อาจารย์เป็นคนจังหวัดใด รับราชการมากี่ปีแล้วเรียนจบระดับสูงสุด ได้อาจารย์ 3 ตอนไหน และ ท่านเดินทางมาบรรยาย ให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดทำผลงานทางวิชาการทางภาคเหนือบ่อยไหมค่ะ
อัศวิน จริง ๆ แล้วผมเป็นคน จังหวัดหนองคาย ครับ บรรจุเป็นข้าราชการครู เมื่อ วันที่ 16 ธันวาคม 2534รับราชการมาประมาณ 16 ปี ครับ จบการศึกษาระดับ ปริญญาโท จากมหาวิทยาลัย มหาสารคาม เมื่อ ปี 2542 สาขา เทคโนโลยีการศึกษา และได้รับแต่งตั้งเลื่อนเป็น อาจารย์ 3 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2545 ในตำแหน่ง อาจารย์ 3 ระดับ 6 เดินทางมาบรรยายที่ภาคเหนือ รวมแล้ว 2-3 ครั้ง ถ้าจำไม่ผิดนะครับ
พวงผกา ในการทำงานที่ประสบความสำเร็จของท่าน ท่านมีแนวทางหรือมีการวางแผนอย่างไรค่ะ
อัศวิน จริง ๆ แล้วนะครับท่านอาจารย์ ผมเองเป็นคนชนบทคนหนึ่งอยู่ในแถบอีสานตอนบน ติดชายแดนประเทศลาวสมัยเด็ก ๆ ผมเป็นคนชอบฝันอยากเป็นโน่น เป็นนี่ ไม่เหมือนใคร ความคิด นะว่าสักวันหนึ่ง เราจะต้องเป็นตำรวจ- ทหาร ให้ได้เห็นเขาแต่งตัวดูแล้วเท่ ความคิดนี่แหละอาจารย์เป็นตัวกำหนดให้เรานั่นจะระลึกและคิดอยู่ตลอดเวลาว่า เราจะต้องทำให้ได้ เป็นการวางแผน แนวความคิดในระยะยาว จะเป็นจริง หรือไม่เป็นจริงค่อยว่าอีกที สุดท้ายออกมาเป็นครู เมื่อออกมารับราชการครู ก็มีการวางแผนเสียก่อนนะครับ งานทุกอย่าง อาชีพทุกอาชีพ หรือแม้แต่ตนเองนะครับ หากไม่มีการจัดการที่ดี ส่วนมากอุปสรรคจะเข้ามาแทนที่ ทันทีเลยครับอาจารย์ การจัดการที่ดีจะต้องมีระบบ ผมเอง เมื่อคิดที่จะทำผลงาน อาจารย์ 3 จะมีการวางแผนอย่างมีระบบนะครับ อยากจะเล่าให้อาจารย์ ฟังสักเล็กน้อยนะครับ คือ เมื่อรับราชการจะศึกษาขั้นตอนในการทำให้เข้าใจ สอบถามเพื่อนที่มีข้อมูล เก็บงานแยกออกเป็น ปี ๆ อย่างเป็นระบบ อาจารย์อย่าออกนอกระบบนะครับ งานทุกอย่างจะล้มเหลวทันที ให้ยึดระบบเอาไว้ มีการศึกษาเพิ่มเติมโดยการเข้าศึกษาต่อ ระดับบัณฑิตศึกษา พุดจริงนะครับอาจารย์ ใจเรานี่แหละตัวสำคัญ มีความพยายามมากเพียงพอหรือไม่ มีความอดทน มีความอึด สรุปแล้วมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ ที่นิยมนำมาบริหารจัดการก็คือ P D C A นี่แหละครับ
พวงผกา ขอเรียนถามท่านอาจารย์ต่อเลยนะค่ะ ว่า ในการทำงานนอกจากท่านมีการวางแผนอย่างเป็นระบบแล้ว ท่านมีวิสัยทัศน์ ในการทำงานอย่างไรค่ะ
อัศวิน อาจารย์ครับ พวกเรามีอาชีพเป็นครู หน้าที่ของครู คือจะต้องมีจุดหมายปลายทาง สำนึกในหน้าที่ เป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ มีเกียรติภูมิ ผมเป็นคนหนึ่งที่มองอนาคต ความเป็นไปจะจบลงอย่างไรไว้ล่วงหน้าเสมอครับ สำหรับวิสัยทัศน์ผมนะครับ พัฒนาวิชาการให้เป็นหนึ่ง ซาบซึ้งงานศิลปวัฒนธรรม ทำความดีให้ปรากฏ เพื่อแทนทดบุญคุณของแผ่นดิน ต้องขายความหน่อยนะครับ ผมจะพัฒนาวิชาการอยู่ตลอดเวลาเลยนะครับ..เวลาว่างแทบไม่มีครับ ผมชอบเขียนหนังสือส่วนมากเป็นหนังสือด้านวิชาการและประเภทหนังสือการ์ตูน บทความ เอกสารประกอบการเรียน บทเรียนสำเร็จรูป และอีกมากมายครับ ผมเป็นอีกคนหนึ่งนะครับที่ชอบวิถีชีวิต ความเป็นเป็นอยู่ของคนในชุมชน เพราะบุคคลสำคัญมากเนื่องจากคนกลุ่มนี้ มีวัฒนธรรม ถ่ายทอด ภูมิปัญญาของตนเองออกมา เป็นประโยชน์กับลูกหลานไว้มากมายครับ เช่น การปั้นหม้อ ทอเสื่อ รวมถึงประเพณีของท้องถิ่นที่ทรงคุณค่า ผมเป็นคนหนึ่งที่จะสืบทอดเจตนารมณ์พวกเขาเหล่านั้น โดยสั่งสอนบุตรหลานของพวกเขาให้เป็นคนดีของสังคมชนบทและเป็นคนดีของประเทศชาติสืบต่อไปเพื่อทดแทนบุญคุณของแผ่นดินที่ให้ทุกอย่างกับชีวิตเรา ครับ ยาวไปหน่อยเน๊าะ
พวงผกา ขอเรียนถามอาจารย์อัศวิน ต่อเลยนะค่ะ พอจะทราบความเป็นมาแห่งความสำเร็จของท่านแล้วส่วนหนึ่งนะค่ะ แต่ดิฉันอยากจะถามท่านว่า ท่านยึดหลักทฤษฎีของใคร บ้างค่ะในการทำงานให้ประสบผลสำเร็จค่ะ
อัศวิน เอาอย่างงั้นหรืออาจารย์
พวงผกา ค่ะ อาจารย์ประจำวิชาท่านอยากให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับทฤษฎีที่นำมาใช้ในการทำงาน
อัศวิน ผมเองก็ไม่เก่งทฤษฎีสักเท่าไหร่นะครับอาจารย์ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันครับ ผมเคยเกิ่นนำ แรก ๆ แล้วว่าผมเป็นเด็กชนบท ชอบคิด ก่อนหน้านั้นผมไม่ได้ยึดหลักทฤษฎีของผู้ใดเป็นหลัก แต่จะเอาอย่างผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติตัว ทำงานมีเงินเดือน หลัง ๆ นี้ก็เข้าศึกษาต่อในระดับ ปริญญาตรี โท ก็มีวันหนึ่ง หลานชายเขาไปชวนไปฟังวิทยากร บรรยายคือ คุณชัย ลาภสัมปันน์ จากบริษัทอยุธยาอาลิอัน ซีพี ประกันภัย ขำกัดเราคือสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เราก็คือคน ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นไม่ได้ ไม่มีใครเกิดมาแล้วเป็น ความสำเร็จเกิดจากการเรียนรู้ ทำตาม มีความพยายาม มีความอดทน ล้มแล้วต้องลุก หาข้อผิดพลาด แก้ไขปรับปรุง ท้อได้ แต่อย่าถอย ทุกคนมีความสามารถเท่ากัน แต่จะนำมาใช้หรือไม่ รวมถึงการอ่านหนังสือ ความสำเร็จแห่งชีวิต ที่คุณชัย ลาภสัมปันน์ เฮีย กฤษณะ นามสกุลท่านจำไม่ได้ เรียนรู้และศึกษาผู้มีรายได้ ปีหนึ่ง 30 ล้าน เขาเก่งมาก นักขายประกันนะอาจารย์พวกนี้เขาเอาทฤษฎีฝรั่ง ปราชญ์ฝรั่งเป็นแบบอย่าง แต่ถ้าเรามองให้เห็นภาพนะ อาจารย์ กลุ่มคนนักขายประกันนี้ มีลูกค้าเป็นที่ตั้ง ถามก่อนว่าพวกลูกค้าเหล่านั้นทำอย่างไรเขาถึงจะซื้อประกันกับเรา ตอบได้เลยว่าเราจะต้องมี มนุษยสัมพันธ์เป็นอันดับแรก ยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายเหมือนญาติพี่น้อง สร้างทีมงาน เป็นเครือข่ายสร้างความศรัทธาให้เกิดกับลูกน้อง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้นะครับอาจารย์เป็นสิ่งสำคัญ อาจารย์อาจจะถามว่าแล้วมันมาเกี่ยวกับความสำเร็จของเราได้อย่างไร ผมตอบแทนอาจารย์พวงผกา ได้เลยนะว่า ศาสตร์และศิลป์พวกนี้แหละ เราสามารถนำมาบูรณาการกับงานที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน คุณครูท่านใดมีหลัก มีเกณฑ์ มีกระบวนการ อย่างเป็นระบบ มีเครือข่าย สร้างความศรัทธาให้เกิดขึ้นกับตัวเอง นะครับ
พวงผกา และทฤษฎีฝรั่งหละค่ะพอจะบอกชื่อได้ไหม................... อาจารย์ยิ้มทำไมค่ะ
อัศวิน เออ......... คือย่างนี้นะครับอาจารย์ ผมสอนโรงเรียนประถมศึกษา ไม่เหมือนอาจารย์มหาวิทยาลัย นะ กลัวว่าบอกไปแล้วมันจะผิดพลาด
พวงผกา ไม่เป็นไรหรอกค่ะอาจารย์
อัศวิน เอาจริง ๆ หรือครับ ...ลองดูนะครับ การนำหลักทฤษฎีมาใช้ มี ทฤษฎี มีหลายคนนะครับแต่ผมเองนำมาผสมผสานกันเอาพอจะสรุปได้ดังนี้นะครับ
1. ทฤษฏีความคาดหวังของวรูม การจูงใจของคนเพื่อกระทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะถูกกำหนดโดยคุณค่าของผลลัพธ์ที่ ได้จากความพยายาม คูณกับความเชื่อมั่นที่ว่าความพยายามนั้นช่วยให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย
2. ทฤษฏีแรงจูงใจของพอร์เตอร์และลอว์เลอร์ ปริมาณของความพยายามขึ้นอยู่กับค่าของรางวัล บวกกับจำนวนพลังงานที่บุคคลมีความเชื่อ และความน่าจะเป็นของการได้รับรางวัล การปฏิบัติงานนำไปสู่รางวัลภายในและภายนอก และรางวัลนำไปสู่ความพึงพอใจ
3. ทฤษฏีการเสริมแรงของสกินเนอร์ การเสริมแรงของมนุษย์มีพื้นฐานอยู่บนปัจจัย 3 ประการ ได้แก่ มนุษย์จะมีพฤติกรรมตามการเสริมแรงที่เกิดขึ้นกับตนและการทำงานของตน เป็นพฤติกรรมที่สามารถวัดหรือสังเกตได้ และการเสริมแรงที่เหมาะสมนั้นจะทำให้พฤติกรรมที่เป็นที่ต้องการมีเพิ่มขึ้น และที่ไม่ต้องการมีลดน้อยลงไป แบ่งเป็น การเสริมแรงทางบวก คือ การให้รางวัลในผลลัพธ์จากการกระทำที่ต้องการหรือปรับปรุงพฤติกรรม และการเสริมแรงทางลบ คือ การให้รางวัลจากการสามารถขจัดสิ่งที่ไม่ต้องการออกไปได้
4. ทฤษฏีความต้องการความสัมฤทธิ์ผลของแมคเคลแลนด์ มนุษย์มีความต้องการ 3 ด้าน ได้แก่ ความสำเร็จ อำนาจ และความต้องการทางสังคม
พวงผกา อาจารย์ก็เก่งอยู่นะ
อัศวิน ก็อย่างงั้น ๆ แหละครับอาจารย์ คือผมชอบซื้อหนังสือมาอ่านจำพวกพวกปรัชญา แนวคิด หลักทฤษฎี ส่วนมากก็นำมาปรับใช้ในชีวิตการทำงานของเรา เรียนให้ท่านอาจารย์ทราบว่า หลักในการทำงานให้ประสบผลสัมฤทธิ์นั้นมีองค์ประกอบมากมายครับ ที่สำคัญที่สุดคือ ตัวเรานี้แหละครับสำคัญที่สุด หากเราไม่ก้าว แล้วเราจะไปถึง จุดหมายปลายทางได้อย่างไร
พวงผกา จากการนำทฤษฎีไม่ว่าจะเป็นของคุณชัย ลาปสันปันน์ และทฤษฎีที่กล่าวมา อยากให้อาจารย์ยกตัวอย่างความสำเร็จของอาจารย์ว่าเกี่ยวกับอะไรบ้างค่ะ
อัศวิน คืออย่างนี้นะครับอาจารย์ ผมจะสรุปเลยนะครับเริ่มตั้งแต่เป็นครูเลยนะครับ
2537 ครูผู้สอนกลุ่มวิชา สปช. สปอ.บึงกาฬ จังหวัดหนองคาย
2539 ครูผู้สอนศิลปศึกษาดีเด่น สปอ.หนองหาน จังหวัดอุดรธานี
2539 ครูผู้เสียสละและอุทิศเวลาให้ทางการดีเด่น สปอ.หนองหาน จังหวัดอุดรธานี
2540 ครูผู้สอนวิชาศิลปศึกษาดีเด่น สปอ.หนองหาน จังหวัดอุดรธานี
2542 จบการศึกษามหาบัณฑิต (กศ.ม.) จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
2544 ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการการเลือกตั้ง เขต 6 อุดรธานี
2545 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อาจารย์ 3 ระดับ 6
2546 ได้รับคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนหนองหานวิทยา
2547 ได้รับคัดเลือกเป็นประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นตำบลโพนงาม อ.หนองหาน
2548 ได้รับคัดเลือกครูผู้แต่งกายดีเด่น ประจำปี ประเภทชาย ในวันครู ปี2548
2548 ได้รับคัดเลือกเป็นประธานชมรมอาจารย์ 3 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี เขต 3
2550 ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการประเมินเพื่อเลื่อนตำแหน่ง อาจารย์ 3 เชิงประจักษ์ จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2550 เป็นวิทยากรบรรยายการจัดทำผลงานทางวิชาการ -ปัจจุบัน
2550 ได้รับคัดเลือกเป็นพ่อชุมชนดีเด่น ประจำปี 2550 โรงเรียนหนองหานวิทยา
2551 ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการสรรหากรรมการคุรุสภา
2551 ได้รับคัดเลือกเป็นประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นตำบลโพนงาม อ.หนองหาน
คงพอแล้วหละอาจารย์เดี๋ยวมีคนมั่นไส้เอา
พวงผกา ขอชื่นชมอาจารย์นะค่ะก็เก่งนะ
อัศวิน ก็ไม่เก่งหรอกครับ คนเก่งกว่าผมมีอีกเยอะ
พวงผกา ทราบข่าวว่าท่านมีผลงานเตรียมเผยแพร่ มีอะไรบ้างค่ะ
อัศวิน ตอนนี้ก็มี 1.ชุดหนังสือภาพการ์ตูน ชุดวรรณกรรมท้องถิ่น 6 เรื่อง สมุดฝึกระบายสี 6 เรื่อง หนังสือนิทานคุณธรรม 20 เรื่อง บทเรียนสำเร็จรูปวิชาทัศนศิลป์ 5 เรื่อง หนังสืออ่านประกอบวิชาศิลปะ 5 เรื่อง ชุดกิจกรรมสาระวิยาศาสตร์ 5 เรื่อง บทเรียนสำเร็จรูปวิชาสังคมศึกษา 20 เรื่อง บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องสีน้ำ 8 เรื่อง หนังสืออ่านประกอบวันสำคัญ 2 เรื่อง งานวิจัย 2 เรื่อง และ E-BooK 6 เรื่อง หนังสือการ์ตูน 10 เรื่อง อาจารย์ก็ติดตามทางเว็บไซต์ของผมเลยนะครับ ตอนนี้กำลังอัฟเดท ข้อมูลคิดว่าไม่น่าเกิน สิ้นตุลาคม ก็คงเสร็จสมบูรณ์
พวงผกา ขอเรียนสัมภาษณ์ท่านอาจารย์เป็นคำถามสุดท้ายนะค่ะว่า ท่านมีคติประจำใจในการทำงานให้ประสบความสำเร็จอย่างไร
อัศวิน ส่วนคติประจำใจนะครับ ผมใช้คำว่า ความสำเร็จอยู่ไม่ไกล อยู่ที่ใจของเรา ครับ
พวงผกา ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างมากนะค่ะ ที่ได้ให้ข้อคิดหลักการในการทำงานให้ประสบความสำเร็จ ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ
อัศวิน ไม่เป็นไรครับอาจารย์สิ่งไหนที่พอจะเป็นประโยชน์ก็เลือกนำไปใช้เอานะครับ สวัสดีครับ



แนวคิดการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ

แนวคิดการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ (อ้างถึงใน URL : http://www.chatvariety.com) ได้ให้ความหมายว่า การดำเนินชีวิตให้เจริญก้าวหน้าประสบผลสำเร็จใน ด้านอาชีพการงานได้นั้น ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรู้จักเป้าหมายการทำงานมีหลักปฏิบัติใน การทำงานรู้วิธีการทำงาน รู้เหตุและรู้ผล ซึ่งเป็นปัจจัยในความสำเร็จของงาน ผู้ทำงานต้องมีคุณสมบัติเบื้องต้นในการทำงานเพื่อความสำเร็จต่อไปนี้...
1. เป้าหมายของผู้ทำงาน สร้างความสุข ความเจริญก้าวหน้า และความมั่นคงให้กับ ตัวเอง ครอบครัว และประเทศชาติ
2. หลักปฏิบัติในการทำงาน
2.1 การตั้งใจทำให้จริง ทำให้ตรง ทำให้ตลอด
2.2 การพยายามคิดพิจารณาด้วยความรู้ความสามารถของตนด้วยปัญญา ให้เห็นถึงสาระและประโยชน์แท้จริงของงานที่ทำนั้นให้กระจ่างชัด
2.3 จงพยายามวางสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่ใช่สาระและเป้าหมายของงานนั้นไว้ก่อน และตั้งหน้าตั้งตา กระทำงานนั้นให้จนสำเร็จลุล่วง
2.4 การรู้จักพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง ทั้งกาย วาจา และจิตใจให้อยู่ในความสงบ หนักแน่น มั่นคง แน่นอน มีสติ และสงบสำรวมรอบคอบ ไม่ปล่อยให้ตื่นเต้น หวั่นไหว และฟุ้งซ่าน
3. วิธีการทำงาน
3.1 จะต้องตระหนักในหน้าที่ ที่รับผิดชอบ
3.2 จะต้องศึกษาขอบเขตความมุ่งหมายของงาน ตลอดจนสถานการณ์แวดล้อมต่าง ๆ ให้ เข้าใจแจ่มแจ้งทั่วถึงตามความเป็นจริงทุกกรณีไป
3.3 ควรจะแสดงความคิดเห็นร่วมกับผู้ร่วมงานอยู่เสมอ
3.4 จะต้องมีความตั้งใจอันแน่วแน่อยู่ตลอดเวลาที่จะปรับปรุงตนเอง วิธีการ และกลไกการปฏิบัติงานอย่างถูกต้อง
4. รู้ปัจจัยความสำเร็จของการทำงาน
4.1 มีความรู้ความสามารถในวิชาการ
4.2 มีจิตใจเข้มแข็ง หนักแน่นในเหตุผลแห่งความถูกต้องในความสุจริต ยุติธรรมในความเที่ยงตรง และความรับผิดชอบ
4.3 มีความรอบรู้ ความคิดอ่านที่กว้างไกล มีหลักเกณฑ์กับความเฉลียวฉลาดคล่องตัวในการประสานงานและประสานประโยชน์
5. คุณสมบัติพื้นฐานของผู้ปฏิบัติงาน
5.1 มีความตั้งใจจริง
5.2 มีความอดทน
5.3 มีความขยันหมั่นเพียร
5.4 มีความซื่อตรง
5.5 มีความเห็นอกเห็นใจ
5.6 มีถ้อยทีถ้อยอาศัย
5.7 มีความเมตตา กรุณา มุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน
5.8 มีความสามัคคี
5.9 มีความสุจริตต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และส่วนรวม
6. ปัจจัยในการสร้างความสามัคคี
6.1 การปันสิ่งของของตนเองแก่ผู้อื่นที่ควรให้ อันได้แก่การเสียสละ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การช่วยเหลือกันด้วยสิ่งของตลอดถึงการให้วิชาความรู้ ข้อแนะนำสั่งสอนที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม
6.2 มีไมตรีจิต มีความรัก ความปรารถนาดีต่อกัน เจรจาถ้อยคำอ่อนหวาน อันได้แก่ การพูดถ้อยคำที่น่ารัก คำสุภาพ ไพเราะ สมานสามัคคี ก่อให้เกิดไมตรี และความรักนับถือกัน ตลอดถ้อยคำที่เป็นประโยชน์ และเป็นธรรมอื่น ๆ
6.3 ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น อันได้แก่การขวนขวาย ช่วยเหลือกิจการ บำเพ็ญสาธารณประโยชน์และสนับสนุนส่งเสริมในทางศีลธรรม จริยธรรม
6.4 ความเป็นผู้เสมอต้นเสมอปลาย อันได้แก่ ความเป็นคนดีต่อผู้อื่น เสมอต้นเสมอปลาย ความเป็นผู้มีจุดมุ่งหมายร่วมกัน ความมีใจร่วมสุขร่วมทุกข์กับคนอื่นเสมอทุกเวลาและทุกกรณี
นอกจากที่ ได้กล่าวมาแล้ว การที่บุคคลจะดำเนินชีวิตในการทำงานให้ประสบผลสำเร็จไปด้วยดีอีกด้านควรนำไป ปฏิบัติควบคู่กัน และมีผลกับทางด้านจิตใจ คือการปฏิบัติตามหลักธรรม ดังพระพุทธองค์ทรงชี้แนะไว้ว่า พละ 5 คือ พลัง 5 ประการ ได้แก่ ฉันทะ(ความพอใจ) วิริยะ(ความพากเพียร) สติ (ความไม่ประมาท) สมาธิ (ความตั้งใจแน่วแน่) และปัญญา (ความเห็นแจ้งด้วยปัญญา)
การปฏิบัติตาม หลักธรรมที่จะนำไปสู่ความสำเร็จแห่งกิจการนั้น คือหลักแห่งความสำเร็จ เรียกว่าอิทธิบาท 4 (ธรรมให้ถึงความสำเร็จ) มี 4 ข้อคือ
ฉันทะ มีใจรัก คือพอใจจะทำสิ่งนั้น และทำด้วยใจรัก ต้องทำให้เป็นผลสำเร็จอย่างดีแห่งกิจ หรืองานที่ทำ มิใช่สักว่าทำพอให้เสร็จ ๆ หรือเพียงเพราะอยากได้รางวัลหรือผลกำไร ฉันทะ ให้พอใจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย จะทำกิจการใด ๆ ก็ได้ แปลว่า รักที่จะทำ พอใจที่จะทำ หรืออยากจะทำก็ได้ ซึ่งเป็นการอยากจะทำความดี ความอยากจึงมี 2 แบบ อย่างแรกคือ อยากในสิ่งที่ดี เช่น มีจิตใจใฝ่รู้ ใฝ่ดี ใฝ่ทำ ใฝ่สร้างสรรค์ ใฝ่สัมฤทธิ์ อยากทำเพื่อให้ได้ผล หรืออยากจะฝึกให้เก่ง เหมือนคนอื่นเขา เรียดว่า ฉันทะ ฉันทะเป็นของดีและเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้า สรรเสริญ อย่างที่สอง คือ อยากในสิ่งที่ไม่ดี คือ อยากมี อยากเป็นในบางอย่างไม่อยากมีไม่อยากเป็นในบางอย่าง หรืออยากได้ผลไปเลย เช่น ฉันอยากเก่ง อยากรวย อยากได้ของคนอื่น เรียกว่า ตัณหา
วิริยะ คือ ให้เพียรพยายามปฏิบัติหน้าที่ ขยัน หมั่นกระทำไม่ท้อถอยมีความเพียรที่จะทำ ตัวอย่างชัด และทุกคนทราบ เช่น การฝึกอบรมหลักสูตรภาษาอังกฤษ และภาษาจีน เป็นภาษาที่สอง ทุกคนก็ไปเรียน ที่ไม่รู้ก็เพียรพยายามค้นคว้าหาศัพท์ ฝึกการอ่าน การพูด การเขียน การท่อง ฝึกทำการบ้าน เพื่อจะได้สอบผ่าน หรือ เจ้าหน้าที่ที่ถูกส่งไปฝึกอบรมคอมพิวเตอร์ใช้ในสำนักงาน จากสิ่งที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจหมั่นเพียรฝึกฝน เพื่อนำความรู้ที่ได้ที่เข้าใจ นำไปปฏิบัติงานในหน่วยงานของตนเอง ให้เจริญก้าวหน้าจนสำเร็จเป็นต้น ความเพียรเป็นธรรมที่ยิ่งใหญ่แม้ศัตรูก็ยอมพ่ายแพ้ในกำลังใจของผู้ที่มีความ เพียร ดังน้อมรับพระราชดำรัสแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9
“ความเพียรที่ถูกต้องเป็นธรรม และพึงประสงค์นั้น คือ ความเพียรที่จำกำจัดความเสื่อมให้หมดไป และระวังป้องกันมิให้เกิดใหม่อย่างหนึ่งกับความเพียรที่จะสร้างสรรค์ความดี ความเจริญให้เกิดขึ้น และระวังรักษามิให้เสื่อมสิ้นไปอย่างหนึ่ง ความเพียรทั้งสองประการนี้ เป็นอุปการะอย่างสำคัญแก่การปฏิบัติตนปฏิบัติงาน ถ้าทุกคนในชาติจะได้ตั้งตน ตั้งใจอยู่ในความเพียรดังกล่าว ประโยชน์และความสุขก็จะบังเกิดขึ้นพร้อมทั้งแก่ส่วนตัวและส่วนรวม” (9 มิถุนายน 2539)
จิตตะ เอาจิตฝักใฝ่ คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ และทำสิ่งนั้นด้วยความคิด ไม่ปล่อยจิตใจให้ฟุ้งซ่าน เลื่อนลอย ใช้ความคิดในเรื่องนั้น บ่อย ๆ เสมอ ๆ ทำกิจนั้นงานนั้นอย่างอุทิศใจ จิต ตะ คือ มีใจฝักใฝ่เอาใจใส่ในการงานพัฒนาให้เจริญอย่าเพิกเฉย ไม่ทอดทิ้ง ไม่ละเลย มีการคิดบ่อย ๆ ทำการตรวจสอบและคอยติดตามผล ตัวอย่างเช่น ครูต้องคิดว่าสอนด้วยความรู้จริง รู้จริง ทำได้จริง จึงสอนเขา สอนอย่างมีเหตุผล ให้เขาพิจารณาเข้าใจแจ้งด้วยปัญญาของเขาเอง สอนให้ได้ผลจริง สำเร็จความมุ่งหมายของเรื่องที่สอนนั้น ๆ เช่น ให้เข้าใจได้จริง เห็นความจริง ทำได้จริง นำไปปฏิบัติได้ผลจริงเป็นต้น
วิมังสา ใช้ปัญญาสอบสวน คือ หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อน ข้อบกพร่องและขัดข้องในสิ่งที่ทำนั้นโดย รู้จักทดลองวางแผน วัดผลคิดค้นวิธีแก้ไข ปรับปรุงเป็นต้น เพื่อจัดการและดำเนินงานนั้นให้ได้ผลดียิ่ง ๆ ขึ้นไป วิมังสา พิจารณาเหตุผลในการทำงาน วิมังสาจึงมักจะใช้คู่กับจิตตะ คือ การใช้ปัญญาหาเหตุผลเพื่อพัฒนาปัญญาอยู่เรื่อย ๆ ตรวจสอบหาทางแก้ไขในจุดที่งานติดขัด ตัวอย่างเช่น การทำวิจัย ผู้ทำจะต้องรู้จักวางแผน คิดค้น ค้นคว้า ทำการทดลอง วัดผล และปรับปรุงแก้ไข เมื่อพบข้อบกพร่อง ใช้สติทำใจให้สงบ คิดช้า ๆ และทบทวนไตร่ตรองหาเหตุผลก็มักจะแก้ปัญหาออกได้เสมอ คือ มีปัญหาเกิดขึ้นมา และแก้ไขงานที่ทำได้เป็นผลสำเร็จดียิ่ง ๆขึ้นไป
ดังจะเห็นได้ว่า การงาน ทำกิจการใด ๆ ล้วนใช้ธรรมะคือ พละ5 และอิทธิบาท4 รวมเป็น 9 ประการ เป็นฐานธรรมที่จะนำเราไปสู่ความสำเร็จได้ และจะสำเร็จได้ดีมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพละ5 และอิทธิบาท4 ของเรา มีฉันทะน้อย ก็อาจจะไม่ต้องทำงานนั้นเลย ด้วยอ้างว่าหนาวนัก ร้อนนัก เวลาเย็นนักแล้ว เพราะไม่อยากทำ มีวิระยะน้อย ทำ ๆ ไปก็ทิ้งงานกลางคัน เพราะรู้สึกว่าเบื่อ เกียจคร้านไม่รู้จักรับผิดชอบ ยอมแพ้ตั้งแต่ไม่เริ่มทำ มีจิตตะน้อย ก็พลาดหลง ๆ ลืม ๆ มองข้ามปัญหาเป็นจุด ๆ ไป หรืออาจมองแต่ความบกพร่องของคนอื่นแต่ของเราเองมองข้าม มีวิมังสาน้อย ก็แก้ปัญหาได้ไม่ดี มี สติน้อย มักทำพลาด พูดพลาด ผลุนผันไม่รอบคอบด้วยทุจริตทางกาย วาจาหรือทางใจ ปล่อยจิตเรื่อยไปไม่รู้จักยับยั้ง ในส่วนความดีไม่ตั้งใจทำ อาการดังนี้เรียกว่า ประมาท คือ ขาดสติ มีสมาธิน้อย จิตก็หวั่นไหวแปรปรวน จิตไม่มีสมาธิย่อมดิ้นรนกระสับกระส่าย คิดฟุ้งซ่าน หรือทะยานเป็นฐานแห่งความทุกข์ ไม่อาจจะใช้ปัญญาอบรมปัญญาที่มีอยู่ให้เจริญขึ้นได้ เหมือนอย่างไฟฉายที่แกว่งไปแกว่งมา ไม่อาจส่องอะไรให้มองเห็นชัดเจนได้ จึงต้องทำจิตให้สงบด้วยสมาธิเป็นหลักมีปัญญาน้อย ก็ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักอ่านไปทำไม เพราะอับจนปัญญา ไม่รู้จักใช้ปัญญาพิจารณาโดยแยบคาย คือความไม่เข้าใจสภาวะรู้คิด รู้เลือกวินิจฉัย และไม่รู้จักจัดการให้ถูกต้อง หลงผิดคิดแต่สร้างความเดือดร้อนแก่ตน และผู้อื่น
ดังนั้นผู้มีสติดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี สติอ่อน ปัญญาก็ซบเซา ผู้ทำงานทั่ว ๆ ไป อาจจำสั้น ๆ ว่า รักงาน สู้งาน ใส่ใจงาน และทำงานด้วยปัญญา คือ พละ5 และอิทธิบาท4 จึงเป็นธรรมนำสู่ความสำเร็จที่แท้จริง
เทคนิคการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ (6P)
เทคนิคการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ (อ้างถึงใน URL :http://www.bloggang.com/mainblog.php?) ได้ให้ความหมายว่า
ใครที่คิดว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเท่าที่ควร หรือล้มเหลวเมื่อปีที่ผ่านมา อย่าเพิ่งท้อ ลองค้นหาจุดบกพร่องของตัวเองแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น พร้อมทั้งหาเทคนิควิธีการใหม่ๆมาปรับใช้ในการทำงานนะคะ ซึ่งก็มีเทคนิคในการทำงานดีๆที่เรียกว่า คาถา 6 P มาฝาก
1. P-Positive Thinking คือ การมีทัศนคติที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ ไม่คิดในทางลบ เช่น หากเจอปัญหาในการทำงาน แทนที่จะนั่งกลุ้มใจคิดว่าคราวนี้ต้องแย่แน่ ก็ให้มองว่า นี่เป็นหนทางหนี่งที่จะฝึกฝนให้เราเก่งกล้ามากยิ่งขึ้น
2. P-Peaceful Mindคือ การมีจิตใจที่สงบ เคยได้ยินคำพูดที่ว่า “จงใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว” หรือเปล่า คำพูดนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว เวลาเกิดปัญหาขึ้น เราอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปกับปัญหานั้น การมีจิตใจที่สงบ มีสมาธิ จะทำให้เราเกิดปัญญาในการคิดหาวิธีแก้ปัญหา นอกจากนี้
ยังทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย
3. P-Patient คือ การมีความอดทน คาถาข้อนี้ก็สอดคล้องกับข้อที่แล้ว เพราะการที่เราจะมีจิตที่สงบได้ เราต้องรู้จักอดทนอดกลั้น ระงับอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดีต่างๆ หากสิ่งใดๆไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ เราก็ต้องอดทนรอคอยให้ถึงช่วงเวลาของเรา นอกจากนี้ยังต้องอดทนต่อปัญหาและความยากลำบากในการทำงานด้วย
4. P-Punctual คือ การเป็นคนตรงต่อเวลา มนุษย์เราได้ถูกปลูกฝังให้เป็นคนมีวินัย รู้จักตรงต่อเวลามาตั้ง แต่ยังเป็นเด็ก เช่น การไม่มาโรงเรียนสาย ส่งการบ้านให้ตรงเวลา ในการทำงานก็เช่นกัน หากเรามาทำงานสาย เจ้านายคงไม่ชอบแน่ๆ แล้วยิ่งถ้าเราผิดนัดลูกค้า ผลเสียคงตามมาอีกเป็นกระบุง แม้แต่เวลายังรักษาไม่ได้ เจ้านายหรือลูกค้าคงไม่ไว้ใจให้เราทำงานใดๆแล้วละ
5. P-Polite คือ การเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน การเป็นคนสุภาพนอบน้อมจะทำให้มีแต่คนรักใคร่ และอยากช่วยเหลือ ยิ่งถ้าเรามีตำแหน่งใหญ่โตด้วยแล้ว ยิ่งต้องมีความสุภาพอ่อนน้อมเพราะจะทำให้ผู้อื่นยิ่งเกรงใจเรามากขึ้น ตรงกันข้าม การทำตัวกระด้างกระเดื่อง หยาบคาย หยิ่งยโส ย่อมเป็นที่รังเกียจของสังคม และไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย
6. P-Professionalคือ ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน การที่เรามีหน้าที่อะไร เราก็ควรทำตัวให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในหน้าที่นั้นๆ หมั่นแสวงหาความรู้ใหม่ๆ และหมั่นฝึกปรือฝีมือในการทำงานอยู่เสมอ เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด การทำงานอย่างมืออาชีพ จะเป็นที่ชื่นชมและไว้วางใจของเจ้านาย รวมไปถึงลูกค้าที่ย่อมจะพอใจ และไว้วางใจให้เราดูแลงานของเขาต่อไป
สร้างความสำเร็จในการทำงาน....ด้วยตัวคุณ
สร้างความสำเร็จในการทำงานด้วยตัวคุณ (อ้างถึงใน URL :http://www.saf.mut.ac.th/pages) ได้ให้ความหมายว่า
เชื่อว่าเมื่อคนทุกคนก้าวเข้าสู่ช่วงวัยของการทำงานแล้ว..แต่ละคนย่อมมีความต้องการและความคาดหวังให้งานของตนประสบผลสำเร็จ โดยจะมีแนวทางและวิธีการในการสร้างความสำเร็จในหน้าที่การงานที่แตกต่างกันไป บางคนชอบเอาใจและหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อสร้างความพึงพอใจจากหัวหน้างาน เพราะคิดว่าหัวหน้างานสามารถสนับสนุนความสำเร็จที่เกิดขึ้นให้กับตนเองได้ แต่บางคนประสบความสำเร็จได้จากการสนับสนุนของทีมงานโดยพยายามทำทุกวิถีทางให้สมาชิกในทีมรักใคร่..เพื่อว่าจะได้สนับสนุนให้ตนเองประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานตามที่มุ่งหวังไว้ สำหรับบางคนเชื่อไสยศาสตร์ อาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย… และก็ยังมีอีกหลายต่อหลายคนที่มีความต้องการและความมุ่งหวังที่จะให้หน้าที่การงานของตนประสบความสำเร็จด้วยความสามารถและฝีมือของตัวเอง ความสำเร็จด้วยฝีมือของเราเองจะเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต ดังนั้นในส่วนนี้จึงขอนำเสนอเทคนิคและวิธีการเพื่อการสร้างความสำเร็จในการทำงานด้วยตัวคุณเองตามหลักการง่าย ๆ ของ " D-E-V-E-L-O-P " ดังนี้
D Development ไม่หยุดยั้งการพัฒนา
E Endurance มุ่งเน้นความอดทน
V Versatile หลากหลายความสามารถ
E Energetic กระตือรือร้นอยู่เสมอ
L Love รักงานที่ทำ
O Organizing จัดการเป็นเลิศ
P Positive Thinking คิดแต่ทางบวก
Development : ไม่หยุดยั้งการพัฒนา
ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้จะต้องเป็นคนที่มีหัวใจของการพัฒนาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคลิกลักษณะ พฤติกรรม หรือแม้แต่วิธีการทำงาน โดยต้องเป็นผู้ที่มีการสำรวจและประเมินความสามารถของตนเองอยู่ตลอดเวลา คอยตรวจสอบว่าเรามีจุดแข็งและจุดบกพร่องในด้านใดบ้างและพยายามที่จะหาทางพัฒนาจุดแข็งและปรับปรุงจุดบกพร่องของตนให้ดีขึ้น เช่น ถ้าไม่เก่งภาอังกฤษ..ซึ่งจำเป็นต้องนำมาใช้ในการทำงาน..ก็ควรขวนขวายหาโอกาสที่จะเรียนเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังต้องเป็นคนที่ไม่ยึดติดกับวิธีการหรือขั้นตอนการทำงานแบบเดิม ๆ โดยควรจะหาเทคนิคและแนวทางใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาการทำงานของตนเองให้ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอยู่เสมอ
Endurance : มุ่งเน้นความอดทน
ความอดทนเป็นพลังของความสำเร็จ…อดทนต่อคำพูด อดทนต่อพฤติกรรมการดูหมิ่นหรือสบประมาท อดทนต่อความเครียดในการทำงาน…คนบางคนลาออกจากที่ทำงานเพราะเจอหัวหน้างานพูดจารุนแรง หรือเพียงแค่ถูกต่อว่าต่อหน้าที่ประชุมเท่านั้น…คุณรู้ไหมว่าการลาออกจากงานบ่อย ๆ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะเวลาคุณไปสมัครงานที่ไหนเค้าอาจจะมองว่าคุณเป็นคนไม่มีความอดทนเลยก็เป็นได้ (เสียประวัติการทำงานของคุณเอง) หากคุณต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายหรือไม่ปรารถนา ขอเพียงแต่ให้คุณมีความอดทนและอดกลั้นเข้าไว้ แล้วคุณจะสามารถเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ได้สำเร็จ
Versatile : หลากหลายความสามารถ
หลาย ๆ องค์กรย่อมต้องการคนที่มีความรู้ และความสามารถให้เข้ามาพัฒนาและปรับปรุงองค์กรให้ดีขึ้น…ขอให้ลองคิดดูว่าถ้าคุณเป็นเจ้าของบริษัท คุณอยากได้คนที่สามารถทำงานได้หลาย ๆ อย่าง หรือ ทำได้เฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง…แน่นอนคุณคงต้องการได้คนที่มีความสามารถทำงานได้หลากหลาย ไม่ปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงงานที่ได้รับมอบหมายพิเศษ…ซึ่งบางคนที่หลีกเลี่ยงงาน กลัวว่าจะต้องทำงานมากกว่าคนอื่น ไม่อยากให้ใครเอาเปรียบ ไม่เคยอาสาที่จะทำงานนอกเหนือจากงานที่รับผิดชอบ…แน่นอนว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีทางที่จะได้รับความก้าวหน้าและความสำเร็จในชีวิตการทำงานได้เลย…ดีไม่ดีกลุ่มคนเหล่านี้อาจจะเป็นกลุ่มคนแรกที่ถูกพิจารณาให้ Lay Off ก่อนก็เป็นได้ (หากองค์กรต้องเผชิญกับสภาวะการเงินที่ถดถอย)
Energetic : กระตือรือร้นอยู่เสมอ
ความสำเร็จต่าง ๆ ย่อมเกิดขึ้นได้ถ้าคุณมีความกระตือรือร้น และมีความตื่นตัวที่จะแสวงความรู้ใหม่ ๆ การรับฟังข้อมูลข่าวสาร ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาและอุปสรรคให้ประสบผลสำเร็จ โดยส่วนใหญ่คนที่มีความกระตือรือร้นจะเป็นคนที่ชอบลองผิดลองถูก มาทำงานก่อนเวลาเสมอเพื่อหาโอกาสค้นคว้าข้อมูลและหาความรู้เพิ่มเติม พยายามที่จะให้งานเสร็จก่อนหรือตรงตามเวลาที่กำหนด ซึ่งแตกต่างจากคนที่ขาดความกระตือรือร้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ไม่อยากให้วันทำงานมาถึง รอคอยเวลาเลิกงานหรือเสร็จสิ้นสัปดาห์การทำงาน ทำงานเฉื่อย ไม่สนใจรับฟังข้อมูลข่าวสารใด ๆ เลย ขอเพียงให้งานของตนเองเสร็จเท่านั้นเพื่อที่จะได้กลับบ้านหรือไปที่ไหน ๆ ตามที่ใจปรารถนา….ซึ่งทำนายได้เลยว่า บุคคลเหล่านั้นไม่มีทางหรือมีโอกาสน้อยมากในการได้รับความสำเร็จและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตน
Love : รักงานที่ทำ
ขอให้ตระหนักไว้เสมอว่า “คนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะรักงานที่ทำอยู่ได้” พบว่าในยุคสมัยนี้การเลือกงานที่รักมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยกว่าการที่จะเลือกรักงานที่ทำ ดังนั้น “หากคุณไม่สามารถเลือกงานที่รักได้ คุณก็ควรเลือกที่จะรักงานที่คุณทำ” เพราะความรู้สึกนี้เองจะส่งผลให้คุณมีความสุขกับงานของคุณ..ขอให้คุณลองถามตัวเองว่าคุณรักงานที่ทำอยู่หรือไม่ แล้วคุณมีพฤติกรรมอย่างไรหากคุณมีความรู้สึกว่าคุณไม่รักงานที่ทำอยู่เลย และผลงานที่เกิดขึ้นของคุณเป็นอย่างไรบ้าง..บางคนเบื่อหน่ายกับชีวิต..ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม…ไม่มีเป้าหมายในการทำงาน ซึ่งย่อมแน่นอนว่าคุณคงไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของคุณเลย…พื้นฐานของความสำเร็จอยู่ที่ความรักในสิ่งนั้น เมื่อคุณมีความรัก คุณจะมีความสุขกับงานที่ทำ ซึ่งจะทำให้คุณพยายามหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าของงานที่ทำอยู่ตลอดเวลา และนั่นจะส่งผลให้คุณรู้จักวางแผนชีวิตและเป้าหมายความสำเร็จในการทำงานของคุณ
Organizing : จัดการเป็นเลิศ
การจัดการงานที่ดี จะทำให้คุณรู้ว่าควรจะทำอะไรก่อนและหลังบ้าง สามารถจัดสรรเวลาและทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ การจัดการจะเป็นสิ่งผลักดันให้คุณต้องวางแผนและเป้าหมายการทำงานอยู่เสมอ ทั้งนี้คุณเคยสำรวจตัวเองบ้างหรือไม่ว่า คุณมีความสับสนและไม่สามารถทำงานได้เสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้..ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองจะเป็นเครื่องบ่งบอกว่าคุณขาดประสิทธิภาพในการจัดการงานของคุณ คุณไม่สามารถบริหารทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีให้เกิดประสิทธิผลได้
Positive Thinking : คิดแต่ทางบวก
ความคิดทางบวกจะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้คุณมองโลกในแง่ดี มีกำลังใจและพลังที่จะทำงานต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายให้ประสบผลสำเร็จ คนที่มีความคิดทางบวกจะเป็นคนที่สนุกและมีความสุขกับงานที่ทำ แสวงหาโอกาสที่จะช่วยเหลือและสนับสนุนผู้อื่นอยู่เสมอ…สำหรับผู้ที่มีความคิดในด้านลบอยู่ตลอดเวลา จะเป็นผู้ที่หมกมุ่นอยู่แต่กับปัญหา ชอบโทษตัวเองและคนรอบข้างอยู่เสมอ ขาดความคิดที่จะพัฒนาตนเองและงานที่ทำ…ในที่สุดผลงานที่ได้รับย่อมขาด ประสิทธิภาพ
ดังนั้นหากคุณต้องการที่จะเป็นผู้หนึ่งที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน คุณควรประยุกต์ใช้หลักของการ “D-E-V-E-L-O-P“ (ไม่หยุดยั้งการพัฒนา มุ่งเน้นความอดทน หลากหลายความสามารถ กระตือรือร้นอยู่เสมอ รักงานที่ทำ จัดการเป็นเลิศ คิดแต่ทางบวก) กล่าวโดยรวมก็คือ พัฒนาตนเองอยู่เสมอทั้งในด้านความคิด ความรู้ จิตใจ และการกระทำของตัวคุณ และนั่นเองจะส่งผลให้คุณมีความก้าวหน้าและประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างที่ตั้งใจและมุ่งหวังไว้

บทเรียนแห่งความสำเร็จ ของ บังอร ฤทธิภักดี
บทเรียนแห่งความสำเร็จ (อ้างถึงใน URL : http://www.thaihealth.or.th) ได้ให้ความหมายว่า
ไม่นานนี้ สำนักวิชาการ ได้เชิญ “พี่แอ๋ว” บังอร ฤทธิภักดี นักต่อสู้เพื่อลดการบริโภคยาสูบ (อดีต Miss Motivated ของ สสส.) มาเติมพลังและแบ่งปันประสบการณ์การทำงานให้กับพี่ๆ น้องๆ ชาว สสส.
“บังอร ฤทธิภักดี” ชื่อนี้ย่อมไม่ธรรมดา เพราะการทำงานเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นนอกจากจะต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและความอดทนแล้ว เธอยังยอมสละรายได้บางส่วน เพื่อให้มูลนิธิที่เธอทำงานสามารถไปต่อได้
บทเรียนแห่งความสำเร็จของการต่อสู้ในงานรณรงค์ชิ้นสำคัญของประเทศไทย นั่นคือ “กฎหมายควบคุมยาสูบ” ซึ่งถือเป็นเกราะสำคัญในช่วงที่ไทยถูกรุกไล่อย่างหนักของธุรกิจบุหรี่ข้ามชาติ
มาวันนี้ “พี่แอ๋ว”จึงมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และบทเรียนที่ได้จากการทำงานรณรงค์ให้กับชาว สสส. ไว้อย่างน่าสนใจ ว่า หากใครอยากเป็นนักรณรงค์หรือทำงานรณรงค์ให้ประสบผลสำเร็จ
คุณสมบัติในการทำงานของนักรณรงค์ สิ่งแรกที่สำคัญ คือ ต้องมี Passion หรือ “ความปรารถนา” อย่างแรงกล้า ที่ตั้งใจอยากจะผลักดันเรื่องนี้ให้เกิดขึ้น ตามด้วย “ความเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้” แต่ความเชื่ออย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมี
1. องค์ความรู้ หรือข้อมูลที่ถูกสกัด และเหลาให้คม นั่นคือ ต้องรู้จักเจียระไนเพชรให้เป็น โดยรู้จักหยิบข้อมูลสำคัญนำเสนอจนฝ่ายนโยบายเห็นและเข้าใจร่วมกัน
2. วางกลยุทธ์ นั่นคือ รู้ว่าจะพูดเรื่องนี้กับใครที่มีอำนาจในการตัดสินใจ
3. พึงระลึกเสมอว่า นักรณรงค์ไม่เคยบินเดี่ยว หรือ one man show “ผู้ร่วมงาน” จึงสำคัญอย่างมาก การรักษามิตรจึงเป็นสิ่งสำคัญ และเคล็ดลับของการทำงานร่วมกับภาคีให้ยั่งยืนนั่นคือ “การให้เขาได้เครดิต และเราพร้อมที่จะอยู่ข้างหลัง” และ “เราไม่ใช่คนสั่งการ แต่เราขอความช่วยเหลือและขอความเห็นจากเขา” ดังนั้น สิ่งที่ควรระวังอย่างยิ่งคือ การสั่งให้คนทำ เมื่อเสร็จสิ้นงานแล้วก็ไร้ซึ่งเยื่อใยต่อกัน
4. การสร้างทีมงานที่เข้มแข็ง และยอมทุ่มเท
5. “รู้เขารู้เรา” โดยประเมินสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับอีกฝ่ายหนึ่ง และเตรียมพร้อมทางข้อมูลไว้ล่วงหน้า เพื่อนำมายืนยันหรือหักล้าง ดังนั้นการต่อสู้ด้วยข้อมูล กลยุทธ์ และเทคนิค เป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลา และต้องมองให้ไกลถึงทางออกของเรื่อง
สำหรับคุณสมบัติสำคัญของผู้เปลี่ยนแปลงนโยบาย ที่พบเห็นคล้ายๆ กันในแต่ละประเทศ คือ ต้องมี
DONKEY ซึ่งย่อมาจาก....
D-Delicate ทุ่มเทอย่างสุดกาย
O-Organize การบริหารจัดการ
N-Network เครือข่ายที่ร่วมกันทำงาน
E-Energy พลัง
Y-Yipyup คนชอบ เจ๊าะแจ๊ะ ช่างจินตนาการ และรู้จักคิดนอกกรอบ และสร้างวิธีจูงใจให้เกิดขึ้นสำหรับการทำงานรณรงค์ นั่นคือมีความอดทนต่อสิ่งที่ไม่ดีต่ำ หรือทนไม่ได้กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเราโดยตรง
สิ่งที่ทำให้ประสบผลสำเร็จในการขับเคลื่อนทางนโยบายอย่างบรรลุเป้าหมาย นอกจากจะต้องมี "แรงจูงใจอย่างแรงกล้า” แล้ว ยังต้อง “รู้จักคิดการใหญ่” อีกด้วย
และเป้าหมายของนักรณรงค์หญิงที่กำลังขับเคลื่อนอยู่ขณะนี้ นั่นคือ การผลักดันให้เกิดกฎหมายควบคุมยาสูบในภูมิภาคอาเซียน และการผลักดันให้เกิดองค์การเช่นเดียวกับ สสส. ของประเทศไทย เพื่อให้เกิดการทำงานในระยะยาว

การสร้างความสุขในการทำงาน
การสร้างความสุขในการทำงาน (อ้างถึงใน URL : http://men.mthai.com/work/work-tips/245.html) ได้ให้ความหมายว่า
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าแนวโน้มของการทํางานของในภาครัฐและภาคเอกชนของ ทุกหน่วยงานย่อมเกิดภาวะที่เจอกับมรสุมที่เป็นปัจจัยภายนอกมากระทบ เช่น การประสบ ปัญหาภาวะน้ำมันแพง ปัญหาของภัยธรรมชาติและปัจจัยทางด้านการเมืองที่ผลกระทบต่อประชาชนคนไทยซึ่ง ส่งผลให้มากระทบถึงการเมืองภายในบริษัท ด้วยเช่นกันผลกระทบ ังกล่าวย่อมส่งผลให้เกิดความเครียดในการทํางานได้เช่นกันปัจจัยที่พุ่งเป้า มาที่ผู้บริหาร เป็นอันดับแรกว่าจะนําพาองค์การให้มีความอยู่รอดอย่างไร จากปัญหาสภาวะน้ำมันแพง คําตอบคงไม่พ้น2วิธีคือการเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นกับการลดค่าใช้จ่ายต่างๆลง เพื่อให้ องค์การมีความอยู่รอดได้
ผู้บริหารก็ได้วางกลยุทธ์เพื่อให้องค์การผ่านพ้นกับวิกฤติที่เกิดขึ้นโดยการ ใช้เครื่องมือที่เป็นที่ยอมรับของการบริหารจัดการเข้ามาใช้เช่น BSC Competency TQM และ CRM ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวข้างต้นย่อมมีวีธีการ ระบบและตัวชี้วัดที่แตกต่างกันออกไปจากที่พนักงานเคยอยู่กันแบบสุขสบายโดย ไม่ต้องมีใครมาคอยกํากับดูแล ตรวจสอบข้อมูลเป็นประจําทุกเดือนทุกไตรมาส เมื่อผู้บริหารได้นําเครื่องมือต่างๆมาใช้แต่ไม่ได้ศึกษาความพร้อมของคนไทย ที่เคยสุขสบายมาก่อนว่าจะยอมรับเครื่องมือนั้น ได้หรือไม่จึงทําให้เครื่องมือดังกล่าวมาใช้ในเมื่องไทยไม่ค่อยประสบความ สําเร็จเท่าไรนักมักจะถูกต่อต้านจากพนักงานหรือไม่ก็ทําให้พนักงานที่เป็นคน เก่ง (Talent) ขององค์การได้เดินออกจากบริษัทเพราะว่าระบบที่นํามาใช้ไม่มีความยุติธรรมพอ มีแต่เอื้ออํานวยให้กับพวกพ้องซึ่งเป็นคนหมู่มากในองค์การเป็นผู้กุมอํานา จเชิงบริหารเสียเอง ค่านิยมที่ดีๆเริ่มเปลี่ยนไปคนที่ทํางานหนักมักไม่ได้ถูกเหลียวแลจากผู้ บริหารเพราะว่าผู้บริหารที่ถูกแต่งตั้งมาจากคนที่ไม่ได้ ทํางานอย่างแท้จริงมองระบบไม่ออกถ้าคนไหน ทํางานเกินหน้าเกินตาหน่อยก็จะถูกเพ่งเล็งจากผู้บริหารที่มีคนใกล้ชิดคอยให้ ข้อมูลที่ผิดๆอยู่ตลอดเวลา ถ้าผู้บริหารที่ฟังความข้างเดียวหรือฟังจากคนเหล่านี้ทุกวันก็อาจจะมีสิทธิ เอนเอียงมายังผู้ที่ให้ข้อมูล ซึ่งจะทําให้ตัดสินใจในการบริหารคนที่ผิดพลาดได้เช่นกัน
สําหรับผู้เขียนมีความเห็นว่าการนําเครื่องมือที่ดีๆมาใช้ในช่วงแรกเมื่อ ระบบยังไม่เข้าที่และยังไม่ลงตัวไม่สามารถให้โทษแก่ผู้กระทําความผิดได้ การบริหารคน ควรจะเน้นให้รักษาคนดีเอาไว้ก่อนเพื่อเป็นการสร้างขวัญกําลังให้กับพนักงาน ที่ทําดีเอาไว้ในองค์การ จะเห็นได้ว่าที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อพนักงาน ถ้าจะนับรวมถึงปัจจัยภายในเข้ามาอีกซึ่งจะทําให้เกิดแรงกดดันในการทํางาน เพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณในวิธีการแก้ไขในเบื้องต้นเราคงไปแก้ที่ปัจจัยทั้ง สองปัจจัยไม่ได้ต้องใช้ ระยะเวลาในการดําเนินการแก้ใขสิ่งที่ทําได้ในทันทีไม่ต้องใช้พละกําลังเวลา และอุปกรณ์เลยก็คือการแก้ไขปรับปรุงที่ตัวเราเองก่อนซึ่งจะขอนําเสนอการ สร้างความสุขในการทํางาน โดยการบริหารตนเองเพื่อไม่ให้เกิดความเเครียดดังต่อไปนี้
1. การแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี การทํางานย่อมมีปัญหาเป็นธรรมดาอย่าแก้ปัญหาโดยการใช้อารมณ์จะทําให้เครียด มากขึ้นควรเริ่มต้นแก้ปัญหาที่สาเหตุเรียนรู้ที่จะ แก้ปัญหาอย่างเหมาะสมเพราะเมื่อแก้ปัญหาได้ก็จะสบายใจหายเครีย
2. การบริหารเวลาอย่างเหมาะสม จะช่วยให้การทํางานอย่างมี ประสิทธิภาพมีเวลาเหลือสําหรับการพักผ่อนและครอบครัวทําให้เครียด น้อยลง ควรทบทวนดูว่า ใช้เวลาแต่ละวันไปกับเรื่องใดบ้างเพื่อการจัดแบ่งเวลาให้เหมาะสมทั้งการทํา งานสังสรรค์ครอบครัวและการพักผ่อน ลองสังเกตเพื่อนร่วมงานที่บริหารเวลาได้ดีและลองทําตามดูอาจช่วยในการ ริหารเวลาของตนเองได้
3. การปรับเปลี่ยนความคิด ส่วนหนึ่งมาจากความคิดของคนเรา นั่นเองถ้าเรารู้จักปรับเปลี่ยนความคิดในแง่มุมใหม่จะช่วยให้เครียดน้อยลง ถ้ารู้สึกตัวเองคิดมาก หาทางออกไม่ได้ควรหยุดคิดสักพัก คิดให้ยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าเดิมคิดอย่างมีเหตุผลคิดอย่างที่คนอื่นคิดและคิด ถึงคนอื่นบ้าง
4.การพักผ่อนหย่อนใจ หลังเลิกงานแล้วควรได้พักผ่อนหย่อนใจบ้างเพื่อผ่อนคลายจิตใจทําให้พร้อมที่ จะกลับไปทํางานอย่างมีประสิทธิภาพกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจ มีอยู่มากมายควรเลือกตรงข้ามกับงานประจําเช่นงานประจํานั่งโต?ะทั้งวันยาม ว่างควรทํากิจกรรมกลางแจ้งเคลื่อนไหวร่างกายหรืองานประจําเป็นผู้ให้บริการ ยามว่างควรให้ผู้อื่น บริการเราบ้าง
5. การรู้จักยืนยันสิทธิของตน ความเครียดอาจเกิดจากการยอมอ่อนข้อ เกรงใจผู้อื่นมากเกินไปรู้จักยืนยันสิทธิของตนเองบ้างจะทําให้เป็นตัวของตัว เองและ เป็นเกรงใจต่อผู้อื่น สิทธิที่ควรรักษาคือสิทธิที่จะปฏิเสธอย่างมีเหตุผลสิทธิที่จะทํางานด่วนของ ตนให้เสร็จก่อนสิทธิที่จะไต่ถามเพราะความไม่เข้าใจสิทธิเปลี่ยนใจเมื่อได้ ข้อมูลใหม่
6. การสร้างเข้มแข็งทางจิตใจ จิตเป็นนายกายเป็นบ่าวจิตใจที่ เข้มแข็งจะช่วยให้เอาชนะความเครียดได้ การสร้างเข้มแข็งทางจิตใจโดยสร้างความเชื่อมั่น ให้ตนเองพัฒนาปรับปรุงตัวเอง เข้าใจชีวิตว่าไม่มีอะไรแน่นอนไม่ยึดติดกับอดีตหรือกังวลกับอนาคตมากเกินไป อย่างลืมสร้างความอบอุ่นในครอบครัวเพราะครอบครัวเป็นกําลังใจ ที่สําคัญในการต่อสู้กับอุปสรรค
7. การสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน การที่ผู้ร่วมงานมี ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันร่วมมือกันในการทํางานจะทําให้เกิดความอบอุ่น มีกําลังใจและสนุกสนานกับงานมากกว่าการทํางานโดยลําพัง การสร้าง ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ร่วมงานสามารถทําได้โดยเอาใจเขามาใส่ใจเราอยู่ เสมอ
8. การแสดงอารมณ์อย่างเหมาะสม การเก็บอารมณ์ที่ไม่ดีเอาไว้และการแสดงอารมณ์ที่ไม่เหมาะสมทําให้เกิดความ เครียด ควรฝึกควบคุมอารมณ์คิดก่อนทํา ทําอย่างเหมาะสมจะได้ไม่เกิดปัญหาภายหลังเมื่ออารมณ์ดีควรแสดงออกด้วยการ ยิ้มพูดเล่นฮัมเพลงเพื่อให้คน ใกล้ชิดรู้สึกดีด้วย อย่างพูดหรือทําอะไรลงไปหลบจากสถานการณ์ และหายใจลึกๆไตร่ตรองผลที่จะตามมาจะทําให้มีสติเครียดน้อยลง
9. การออกกําลังกาย เมื่อรู้สึกเครียดจากการทํางานการออกกําลังกายจนเหนื่อยและเหงื่อออกจะช่วย คลายเครียดได้ หลังเลิกงานหรือในวันหยุดควรออกกําลังกาย หรือเหล่นกีฬากับกลุ่มเพื่อนจะรู้สึกสนุกสนานและเพลิดเพลินยิ่งขึ้น การช่วยกันทํางานบ้านในวันหยุดก็ถือว่าเป็นการออกกําลังกายที่ดีและช่วย กระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว
10.การพูดอย่างสร้างสรรค์ จะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการทํางาน สวัสดี ขอโทษ ขอบคุณเป็นประโยคที่ควรพูดติดปากแสดงถึงการมีมรรยาทและเป็นเสน่ห์แก่ผู้พูด หมั่นพูดชมเชยไต่ถามทุกข์สุขให้กําลังใจประสานความเข้าใจเพื่อลดความขัดแย้ง ในการทํางานจะช่วยตัดปัญหาลดความเครียด
กลยุทธ์ในการดำรงชีวิตให้ประสบผลสำเร็จ
กลยุทธ์ในการดำรงชีวิตให้ประสบผลสำเร็จ (อ้างถึงใน URL : http://www.rakloong.com) ได้ให้ความหมายว่า
ชีวิตที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยเคล็ดลับขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย และเป็นความจริงที่ว่าเราเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของเราเอง เป็นคนเลือกเส้นทางชีวิต และนั่นคือสิ่งที่ยากที่สุด เพราะไม่มีใครรู้ว่าเส้นทางที่กำลังเดินนั้นจะนำเราไปสู่เป้าหมายที่เราต้อง การรึเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้น การที่เรารู้กฎเกณฑ์การใช้ชีวิต จะช่วยให้เราได้รับประโยชน์สูงสุดจากเวลาทุก ๆ นาที เพราะกฎเหล่านี้เปรียบเสมือนแผนที่ชีวิตในการใช้เวลา เพื่อเลือกลงมือทำในสิ่งที่สำคัญตรงตามเป้าหมายในชีวิตของเรา
กฎข้อ 1 เราคือ คนเลือกที่จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จ หรือผู้ที่ล้มเหลว
ถ้าเราสังเกตดูดี ๆ จะพบกับความจริงที่ว่า ในชีวิตเรามีเส้นทางให้เราเลือกเดินเพียง 2 ทางเท่านั้น คือ เส้นทางที่นำไปสู่ความสำเร็จ กับเส้นทางที่นำเราไปสู่ความล้มเหลว สำหรับเส้นทางสู่ความสำเร็จไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และไม่มีคำว่า " บังเอิญ " สำหรับความสำเร็จ แต่ต้องการอาศัยความพากเพียรอย่างหนักและต่อเนื่อง ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มักจะยอมแพ้เสียก่อน ดังนั้น ถ้าเราเลือกเส้นทางที่นำเราไปสู่ความสำเร็จ วิธีที่ง่ายที่สุด คือ ศึกษาว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จเขามีเส้นทางในการดำเนินชีวิตอย่างไร เช่น ถ้าอยากเป็นนักธุรกิจ ก็ต้องมีการศึกษาเก็บข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่เราทำอย่างละเอียดลุ่มลึก เป็นต้น สำหรับบางคนที่คิดว่าตัวเองได้พยายามแล้วแต่ก็ยังล้มเหลวอยู่ ขอให้ไตร่ตรองประเด็นที่จะกล่าวถึงอย่างละเอียด แล้วท่านเองคือผู้เลือกที่จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว
ลักษณะของผู้ที่ล้มเหลว
1. มีข้อมูลน้อยเกี่ยวกับเป้าหมาย เช่น ในการนำสินค้ามาขาย จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการตลาด รู้จักกลุ่มเป้าหมาย รู้แนวโน้มของเศรษฐกิจ เพราะถ้าขาดความรู้ ขาดข้อมูลที่ถูกต้อง ทันสมัย โอกาสที่จะล้มเหลวก็ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย
2. ขาดทักษะในการเข้าใจผู้อื่น ซึ่งมีกฎเกณฑ์ตายตัวที่มนุษย์ทุกคนรู้สึกเช่นเดียวกัน ดังนี้
1. สิ่งที่มนุษย์ทุกคนกลัวมากที่สุด คือ กลัวการถูกปฏิเสธ ฉะนั้นเมื่อคนที่เราต้องคบค้าติดต่อ ขออะไรแล้วเราให้ได้ยอมได้ก็ควรให้ เพื่อรักษามิตรภาพเอาไว้
2. การที่จะเข้าใจผู้อื่นได้ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง
กฎข้อ 2 เราคือผู้สร้างประสบการณ์ให้ตัวเราเอง
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายขนาดไหน เราก็ยังคงเป็นผู้เลือกที่จะสุขหรือทุกข์ต่อเหตุการณ์หนึ่ง ๆ ฉะนั้น ถ้าเราอยากมีความสุข เราจะไม่ปล่อยให้สถานการณ์ภายนอกควบคุมพฤติกรรม ความคิด ความรู้สึกของเรา เพราะเราคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์เลือกที่จะ " สุข " หรือ " ทุกข์ "
ดังนั้น เราทุกคนมี เสรีภาพในการเลือก บนโลกใบนี้มีทางเลือกให้เราเลือกมากมาย แต่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลง จึงไม่กล้าที่จะเลือกเส้นทางใหม่ ๆ สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ชีวิต ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถเลือกได้ตลอด เช่น ในหนึ่งวัน เราก็เลือกได้ว่าจะไปไหน ทำอะไร ให้ความสนใจอะไร สมมติถ้าเราอยู่กับคน 100 คนเราก็เลือกได้ว่าจะเลือกไว้วางใจใคร ฟังใคร ไม่สนใจใคร จะเห็นด้วย หรือจะคัดค้านในใจ เป็นต้น
กฎข้อ 3 ปฏิกิริยาต่างตอบแทนอาจมีคนสงสัยว่า เราจะเลือกประสบการณ์ของเราได้จริง ๆหรือคำตอบก็อยู่ในกฎข้อนี้ คือ ขึ้นอยู่กับหลักต่างปฏิบัติ ต่างตอบแทนเท่าเทียมกัน เช่น เมื่อมีคนพูดจาไม่ดีกับเรา แล้วเราพูดกับเขาอย่างไร เราเลือกที่จะโต้ตอบในแบบเดียวกับเขา หรือ เลือกที่จะพูดอ่อนหวานกลับไป แน่นอนประสบการณ์ที่เราเลือก ก็คือผลจากการกระทำของเรานั่นเอง ดังนั้น ถ้ามองดี ๆ ตัวเราเองเป็นคนเชื้อเชิญปฏิกิริยาภายนอก เช่น เราไม่ยิ้มให้ เขาก็ไม่ยิ้มให้เรา เป็นต้น และแต่ละคนก็จะมีวิธีการปฏิบัติกับผู้อื่น ที่แตกต่างกันไป เพื่อช่วยให้หายสงสัยว่าทำไมโลกจึงได้ปฏิบัติกับคุณในแบบต่าง ๆ ขอยกตัวอย่างคนประเภทต่าง ๆ เช่น
• คนที่คิดว่าตัวเองสำคัญที่สุด มักจะเป็นคนไม่มีน้ำใจ ซึ่งทำให้เพื่อน ๆ ไม่ค่อยชอบ และเมื่อไหร่ที่คนประเภทนี้พบกับความทุกข์ก็จะไม่มีใครเข้ามาให้กำลัง เพราะท่านไม่เคยใส่ใจ หรือใยดีใคร
• คนที่คิดว่าตัวเองไม่ได้รับการไว้วางใจจากคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นไปได้ว่า คนเหล่านี้ทำตัวเป็นคนอ่อนแออยู่ตลอดเวลา บ่นถึงปัญหาส่วนตัว ร้องไห้เสียใจ เมื่อคนอื่นเห็นก็เกิดความไม่ไว้วางใจ จึงไม่มอบหมายงานให้เรา เพราะพฤติกรรมของเราเองคือตัวกำหนด
• คนที่คิดว่าตัวเองไม่เคยได้รับการช่วยเหลือ คนเหล่านี้มักมีลักษณะ เป็นพวกหนีปัญหาไปวัน ๆ ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ไม่คิดแก้ปัญหาของตัวเองอย่างจริงจัง ซึ่งตามปกติคนเราจะช่วยเหลือคนที่ช่วยเหลือตัวเองอย่างที่สุดก่อน ดังนั้น ถ้าเรายังไม่สามารถดึงศักยภาพในตัวมาใช้แก้ปัญหาแบบสุด ๆ ก็อย่าหวังได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น และยังใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อย หรือหนีปัญหาไปวัน ๆ
กฎข้อ 4 จะแก้ไขปัญหาได้ต่อเมื่อเรายอมรับความจริงได้
ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ คือ การยอมรับว่าเกิดปัญหา ซึ่งคนส่วนใหญ่มักไม่กล้ามองปัญหา ไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองคือสาเหตุของปัญหา นอกจากปัญหาจะไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว ก็เหมือนยิ่งไปสร้างปมปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นอีก ความทุกข์นั้นก็ยังแต่จะก่อให้เกิดความทุกข์ต่อไป เช่น เป็นผู้บริหารแต่ไม่ยอมรับว่า ตัวเองบริหารงานไม่เก่ง ก็ย่อมทำให้บริษัทขาดทุน แต่ถ้ายอมรับได้ ก็จะเกิดทางแก้ไข อาจไปจ้างมืออาชีพมาทำแทน เป็นต้น ดังนั้น การกล้าที่จะยอมรับความจริง คือ การเริ่มต้นแก้ปัญหา
กฎข้อ 5 ชีวิตนี้ให้รางวัลกับการกระทำเสมอมีคนจำนวนมากที่รู้สึกว่าตัวเอง เป็นนักคิดที่ชาญฉลาดแต่ทำไมชีวิตยังอยู่ห่างจากเป้าหมายที่ต้องการเหลือ เกิน นั่นเป็นเพราะ คุณไม่เคยลงมือทำ และเป็นความจริงที่ว่า โลกใบนี้ไม่สนใจคนที่มีความคิดดี แต่จะสนใจการกระทำที่ดีมากกว่า ดังนั้น ถ้าคุณมีความคิดดี ๆ เมื่อไหร่การลงมือทำ เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้คุณได้ในสิ่งที่คุณต้องการ
สำหรับบางคนที่คิดอย่างรอบคอบแล้ว แต่ยังไม่มีแรงหรือกำลังมากพอที่จะสานฝันให้กลายเป็นจริง ทางแก้ คือ ให้ถามตัวเองทุกวันว่า ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว ? เหลือเวลาในชีวิตอีกกี่ปี ? ถ้าไม่รีบลงมือตอนนี้อาจไม่ทันการณ์ ?
และถ้าคุณคิดว่าสิ่งที่จะทำมันยาก จึงทำให้คุณเกิดความกลัว ไม่กล้าลงมือทำ แสดงว่าคุณยังขาดความเข้าใจว่า ชีวิตนี้เป็นเรื่องยาก แต่ไม่มีสิ่งใดที่ยากเกินความสามารถถ้าคุณปรารถนาสิ่งนั้นจริง ๆ
กฎข้อ 6 ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา ให้รับรู้อย่างเดียว เราเป็นคนเลือกที่จะให้ความหมายกับชีวิตของเราเอง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น หรือคิด เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์สมมติขึ้น และความทุกข์จริง ๆ ก็ไม่มี มีแต่ความคิดของเราที่ตีความเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังนั้น ถ้าเราอยากให้ชีวิตเราเต็มไปด้วยความสุข เราก็เลือกมองแต่เรื่องดี ๆ งาม ๆ แทนการมองโลกในแง่ร้าย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่ใช้ตีความต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งมีวิธีการสร้างมุมมองแบบ Positive ง่าย ๆ ดังนี้
• เขียนบันทึกสิ่งดีงามที่เกิดขึ้นกับคุณในแต่ละวัน ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม เช่น ตื่นมารู้สึกดีที่วันนี้ ฝนไม่ตก เป็นต้น
• ค้นหาความหมายใหม่ ๆ ให้กับชีวิตอยู่เสมอ ๆ ซึ่งจะช่วยทำให้เรามีพลังชีวิตมากขึ้นอีกด้วย เช่น มีชีวิตอยู่เพื่อเป็นความหวังให้พ่อแม่ เป็นต้น
กฎข้อ 7 ชีวิตต้องการการบริหารจัดการจะปล่อยไปตามชะตากรรมไม่ได้ คนส่วนใหญ่มักตามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน โดยมองข้ามความจริงที่ว่า ชีวิตต้องการการจัดการ ควรมีการวางแผนทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อป้องกันปัญหาไว้ล่วงหน้า ในการวางแผนเราต้องพูดคุยกับผู้จัดการชีวิตของเรา ซึ่งก็คือ ตัวเราเอง โดยการตั้งคำถามกับตัวเอง ดังนี้
• เราได้เคยค้นหาและดึงเอาศักยภาพสูงสุดของเราออกมาใช้เพื่อก่อประโยชน์หรือยัง ?
• เราเคยหาทางสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับชีวิตหรือไม่ ?
• เราเป็นคนที่อดทนต่อปัญหาอย่างเดียว หรือแก้ปัญหาได้ด้วย ?
ซึ่ง เป็นธรรมดาที่คนที่กล้าแก้ปัญหาต้องกล้าที่จะตัดสินใจและรับผิดชอบต่อผลที่ จะเกิดขึ้น จึงเป็นสาเหตุให้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่สบาย ๆ ซึ่งก็หมายความว่า คุณเลือกที่จะเป็นผู้แพ้ แต่ถ้าคุณพอใจกับสถานะดังกล่าวก็ไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนแปลงคุณได้
กฎข้อ 8 พลังอำนาจของการให้อภัยในบรรดาอารมณ์ทั้งหมดของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกเบื่อ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เป็นต้น ความโกรธ คืออารมณ์ที่ทรงพลังและทำให้มนุษย์เป็นทุกข์มากที่สุด ซึ่งเปรียบเสมือนการจุดไฟเผาผลาญตัวเอง จะรู้สึกร้อนรนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในกองเพลิงแห่งความโกรธเกลียดอาฆาต หมดพลังงานไปอย่างเปล่าประโยชน์ ซึ่งถ้ายังไม่สามารถออกจากกองไฟแห่งความอาฆาตนี้ได้ ในที่สุดจะพบว่าคุณได้เผาผลาญโอกาสแห่งความสำเร็จของคุณหมดไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงที่ว่างสำหรับความล้มเหลวเท่านั้น ดังนั้น ถ้าคุณไม่อยากทำลายชีวิตตัวเองด้วยความโกรธ ก็จงมอบความรักให้กับคนอื่น ๆ บ้าง ก็เพราะ ความอาฆาตพยาบาท เป็นสิ่งที่ละวางได้ยากมาก การให้อภัยจึงเป็นหลักการสำคัญสำหรับความเป็นผู้นำ
กฎข้อ 9 คนเราจะได้อะไรมาอย่างน้อย ๆเราต้องรู้จักสิ่งนั้นก่อน ต้องเรียกมันให้ถูกก่อนคนที่จะประสบความสำเร็จได้ขั้นแรก ต้องรู้จัดตัวเองเป็นอย่างดี จึงจะรู้ว่า ตัวเองต้องการอะไรจากชีวิต ในการสร้างอนาคตให้ตัวเอง จำเป็นต้องสร้างเป็นภาพ ต้องเห็นภาพตัวเองในอนาคตให้ได้ จึงจะรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ซึ่งความต้องการหรือเป้าหมายในชีวิตของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป บางคนอยากเป็นนักการเมือง บางคนอยากเป็นเจ้าของโรงแรม เป็นต้น สำหรับการหาcore value มีอยู่ 2 ประเภท คือ ตามกระแส หรือทวนกระแส ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ดังนั้น หัวใจสำคัญที่จะทำให้คนประสบความสำเร็จ คือ การรู้จักตัวเอง เพราะถ้าคุณวางแผนชีวิตอย่างดี แผนนั้นอาจทำให้คุณหลงทางเป็น สิบ ๆ ปีก็ได้ถ้าคุณขาดความเข้าใจตัวเองสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการมากที่สุด คือ ต้องการเป็นที่ยอมรับให้เกียรติจากผู้อื่น ต้องการ รู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญ และเคารพในความเป็นมนุษย์
. มนุษย์ทุกคนมองทุกเรื่องจากมุมมองของประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเรื่องเงินทอง อาจเป็นเรื่องอุดมการณ์ ดังนั้น เมื่อเราต้องการให้ใครทำงานอะไร ต้องชี้ให้เขาเห็นว่าจะได้รับประโยชน์อะไรจากการทำงานนั้น ๆ
. มนุษย์ทุกคนจะทำงานได้เต็มที่ต่อเมื่อเข้าใจในสิ่งที่จะต้องทำ เพราะถ้าเขาไม่เข้าใจต่อให้เขาอยากทำก็ทำไม่ได้ ก่อให้เกิดความขัดข้องใจ ดังนั้น วิธีการให้งานควรบอกรายละเอียดให้ชัดเจนเพราะลูกน้องไม่ว่าจะเก่งเพียงไร ก็ไม่อาจอ่านใจเจ้านายได้ และลึก ๆ ไม่มีลูกน้องคนไหนไม่อยากให้งานออกมาไม่ดี
. เวลามองคนให้มองในเรื่องคุณภาพ มองที่ความรู้ความสามารถ เราไม่ควรมองคนแค่ภายนอกหรือชาติวงศ์ตระกูล
. คนเรามักไว้วางใจบุคคลที่รักชอบพอเรา เวลาเราไม่เกลียดใครเขาก็จะไว้วางใจเรา แต่เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกอิจฉาริษยา อีกฝ่ายก็ไม่ไว้ใจเรา เพราะจิตอีกดวงหนึ่งสามารถรู้สึกได้ บางครั้งไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ แต่จะมีความรู้สึกอึดอัดเกิดขึ้น
. มองคนให้ลึกถึงจิตใจ โดยใช้ความรู้สึกของเราเป็นเครื่องตรวจสอบ เพราะมนุษย์ทุกคนมีหน้ากาก หลายชั้น ดังนั้นเราไม่ควรมองคนแค่ภายนอก เพราะคนที่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสพูดจาดี แต่อาจมีจิตใจโหดร้ายก็ได้หรือบางคนหน้าตาเรียบเฉย แต่ในใจเขาอาจดีก็ได้ ดังนั้น เราต้องมองคนที่จิตใจมิใช่เพียงหน้าตา



อ้างอิง
-กลยุทธ์ในการดำรงชีวิตให้ประสบผลสำเร็จ (อ้างถึงใน URL : http://www.rakloong.com) เข้าถึงเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2554.
-การสร้างความสุขในการทำงาน (อ้างถึงใน URL : http://men.mthai.com/work/work-tips/245.html) เข้า ถึงเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2554.
-เทคนิคการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ (อ้างถึงใน URL :http://www.bloggang.com/mainblog.php?) เข้าถึงเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2554.
-บทสัมภาษณ์แนวทางการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ (อ้างถึงใน URL : http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=assawin2&id=45) เข้าถึงเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554.
-บทเรียนแห่งความสำเร็จ (อ้างถึงใน URL : http://www.thaihealth.or.th) เข้าถึงเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2554-แนวคิดการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ (อ้างถึงใน URL : http://www.chatvariety.com) เข้าถึงเมื่อวันที่ 11กุมภาพันธ์ 2554.
-สร้างความสำเร็จในการทำงานด้วยตัวคุณ (อ้างถึงใน URL :http://www.saf.mut.ac.th/pages) เข้าถึงเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2554.